บริการของเรา

รับซ่อมคอมเพรสเซอร์โรงงาน

การซ่อมคอมเพรสเซอร์โรงงานเป็นเรื่องสำคัญที่ช่วยยืดอายุการใช้งาน ลดต้นทุน และลดความเสี่ยงของการหยุดการผลิตในโรงงาน โดยขั้นตอนและแนวทางในการซ่อมจะขึ้นอยู่กับประเภทของคอมเพรสเซอร์ที่ใช้งาน (ลูกสูบ, สกรู, แรงเหวี่ยง ฯลฯ) และอาการเสียที่เกิดขึ้น

แนวทางการซ่อมคอมเพรสเซอร์โรงงาน (โดยทั่วไป)

1. ตรวจสอบอาการเสียเบื้องต้น

  • เสียงผิดปกติ

  • ลมอัดไม่แรง

  • ลมรั่ว

  • อุณหภูมิสูงเกิน

  • ระบบตัดบ่อย

  • มีน้ำมันปนในลม (ในกรณี oil-free)

  • ไม่ทำงานเลย

2. อุปกรณ์และส่วนประกอบที่มักมีปัญหา

ส่วนประกอบ ปัญหาที่พบบ่อย แนวทางการซ่อม
ลูกสูบ / แหวนลูกสูบ สึกหรอ เปลี่ยนลูกสูบ หรือเจียรใหม่
วาล์วอัด / ดูด เสีย / ตัน เปลี่ยนใหม่ หรือล้างทำความสะอาด
ซีล / โอริง รั่ว เปลี่ยนใหม่
แบริ่ง สึกหรอ ทำให้มีเสียง เปลี่ยนใหม่ และตั้งศูนย์ให้ดี
มอเตอร์ ไหม้ / ไม่หมุน เช็กสายไฟ เปลี่ยนมอเตอร์หรือพันใหม่
ใบพัด / สกรู สึก / หลวม ซ่อมหรือเปลี่ยน (โดยช่างผู้เชี่ยวชาญ)
ระบบควบคุม (PLC, รีเลย์) ไฟไม่เข้า / ทำงานผิดปกติ ตรวจสอบวงจรและเปลี่ยนชิ้นส่วนเสีย

3. การซ่อมบำรุงตามรอบ (Preventive Maintenance – PM)

ควรทำตามระยะเวลาเพื่อป้องกันการเสียแบบเฉียบพลัน เช่น:

  • เปลี่ยนน้ำมันเครื่องตามชั่วโมงการทำงาน (เช่น 2,000–4,000 ชม.)

  • ทำความสะอาดหรือเปลี่ยนไส้กรองลมและไส้กรองน้ำมัน

  • ตรวจเช็กระดับแรงดันและอุณหภูมิ

  • ตรวจสอบการรั่วซึมของระบบ

  • เช็กสายพานและความตึง

  • ตรวจสอบระบบไฟฟ้าและรีเลย์ควบคุม

4. กรณีต้องยกเครื่องซ่อมใหญ่ (Overhaul)

เมื่อคอมเพรสเซอร์ทำงานครบระยะ เช่น 10,000–20,000 ชั่วโมง (แล้วแต่ชนิด)

  • ถอดชิ้นส่วนทั้งหมดเพื่อล้าง ทำความสะอาด

  • เปลี่ยนอะไหล่สึกหรอ เช่น ลูกปืน ซีล แหวนลูกสูบ

  • ปรับตั้งระยะชิ้นส่วนให้ได้ค่ามาตรฐาน

  • ทดสอบการทำงานก่อนนำกลับใช้งาน

คำแนะนำเพิ่มเติม

  • หากคอมเพรสเซอร์เสียบ่อย อาจต้องตรวจสอบระบบทั้งวงจร เช่น ถังเก็บลม, Dryer, ท่อส่งลม หรือระบบไฟฟ้า

  • การซ่อมควรใช้ อะไหล่แท้หรือเทียบเท่าที่ได้มาตรฐาน

  • ช่างที่มีความรู้เฉพาะทางจะช่วยลดความเสียหายระยะยาว

คอมเพรสเซอร์ที่ใช้ในโรงงานอุตสาหกรรมมีหลายชนิด

ซึ่งแต่ละชนิดจะเหมาะสมกับลักษณะงานและการใช้งานที่แตกต่างกัน โดยสามารถแบ่งออกได้เป็นหลัก ๆ ดังนี้

1. แบบลูกสูบ (Reciprocating Compressor)

  • ทำงานโดยใช้ลูกสูบอัดอากาศในกระบอกสูบ

  • เหมาะสำหรับงานที่ใช้ลมเป็นช่วง ๆ หรือใช้งานไม่ต่อเนื่อง

  • มีทั้งแบบ 1 จังหวะ และหลายจังหวะ (Single-stage / Multi-stage)

  • ข้อดี: ราคาถูก ดูแลง่าย

  • ข้อเสีย: เสียงดัง สั่นมาก ใช้พลังงานสูงเมื่อใช้งานต่อเนื่องนาน ๆ

2. แบบสกรู (Screw Compressor)

  • ใช้สกรูหมุนสองตัวในการอัดอากาศ

  • เหมาะกับการใช้งานต่อเนื่อง เช่น ในสายการผลิตอัตโนมัติ

  • มีแบบ Oil-injected และ Oil-free

  • ข้อดี: ทำงานเงียบ ประหยัดพลังงาน ใช้งานได้ต่อเนื่อง

  • ข้อเสีย: ราคาสูงกว่าลูกสูบ และซ่อมบำรุงซับซ้อนกว่า

3. แบบแรงเหวี่ยง (Centrifugal Compressor)

  • ใช้หลักการแรงเหวี่ยงในการเพิ่มความเร็วของอากาศและเปลี่ยนเป็นแรงดัน

  • เหมาะสำหรับโรงงานขนาดใหญ่ที่ต้องการปริมาณลมสูงมาก

  • ข้อดี: รองรับการผลิตลมขนาดใหญ่ มีประสิทธิภาพสูง

  • ข้อเสีย: ราคาสูง ต้องการการบำรุงรักษาที่แม่นยำ

4. แบบใบพัดหมุน (Rotary Vane Compressor)

  • ใช้ใบพัดหมุนในกระบอกสูบเพื่ออัดอากาศ

  • เหมาะกับงานที่ต้องการลมปริมาณปานกลาง

  • ข้อดี: ขนาดเล็ก เงียบ ดูแลรักษาง่าย

  • ข้อเสีย: อายุการใช้งานของใบพัดจำกัด

5. แบบสโครล (Scroll Compressor)

  • ใช้แผ่นโลหะหมุนแบบสโครลในการอัดอากาศ

  • มักใช้ในอุตสาหกรรมที่ต้องการความเงียบและลมที่สะอาด เช่น อาหารหรืออิเล็กทรอนิกส์

  • ข้อดี: เสียงเงียบ ลมสะอาด

  • ข้อเสีย: ราคาสูง และเหมาะสำหรับงานเบา-กลาง

สรุปการเลือกใช้งาน

ประเภทคอมเพรสเซอร์ เหมาะกับงาน จุดเด่น
ลูกสูบ ใช้ลมไม่บ่อย ราคาถูก ดูแลง่าย
สกรู ใช้งานต่อเนื่อง เงียบ ประหยัดพลังงาน
แรงเหวี่ยง โรงงานขนาดใหญ่ ปริมาณลมสูงมาก
ใบพัดหมุน งานทั่วไป กะทัดรัด เงียบ
สโครล งานที่ต้องการลมสะอาด เงียบและสะอาดมาก